บทที่2ครูกับการสื่อสารในชั้นเรียน
บทที่
2
ครูกับการสื่อสารในชั้นเรียน
จะต้องเรียนรู้เทคนิควิธีการสร้างบรรยากาศให้เป็นกันเองกับนักเรียนทำให้นักเรียน กล้าอธิบาย กล้าแสดงความคิดเห็น
การเสริมแรงสามารถแบ่งได้
2 อย่างคือ
1.การเสริมแรงในทางบวกได้แก่การให้กำลังใจการยอมรับความรู้สึกการยกย่องชมเชยกิริยาท่าทางที่แสดงถึงความพอใจเช่นการพยักหน้าการมองด้วยแววตาชื่นชมเป็นต้น
2.การเสริมแรงในทางลบได้แก่การที่ครูไม่ยอมรับความรู้สึกของนักเรียนอาการเฉยเมยไม่ให้ฟังไม่พูดด้วยไม่สนใจตำหนิดุว่าประนาม
เป็นต้น ซึ่งทำให้นักเรียนขาดความเชื่อมั่นไม่กล้าทำกล้าถาม
อาชีพครูสามารถนำความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ในวิชาชีพได้คือ
1.
บรรยากาศในห้องเรียนจะไปเป็นไปด้วยดีถ้าครูไม่ผลิตการทางวิชาการ
2.
นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อครูที่รู้จักการเสริมแรงและให้กำลังใจนักเรียน
3.
การเสริมแรงและการให้กำลังใจแก่นักเรียนในการเรียนการสอน
4.
สิ่งที่ควรจะกระทำในการเรียนการสอนคือ
4.1
สิ่งที่ควรกระทำในการเรียนให้คำยกย่องและชมเชยบ่อยๆ
4.2
พึ่งละเว้นการดูว่าแสดงอาการไม่พอใจและการลงโทษ
การให้คำติและคำชม
ครูมักจะมีความเกี่ยวข้องกับการประเมิน
คือการประชุมนักเรียนอยู่ตลอดเวลาครูผู้สอนบางคนชอบการติชมนักเรียนแต่บางคนก็อาจจะพูดกระทบกระทั่งจิตใจนักเรียนดังนั้นครูจะติชมจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับกาลเทศะและโอกาสด้วย
เรื่องของบุคคลที่ถูกลืม
ในการเรียนการสอนของครูโดยทั่วไปมักอธิบายพูดไปเรื่อยๆไม่สนใจผู้เรียนไม่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามทำให้เด็กอึดอัดดังนั้นครูควรที่จะให้โอกาสผู้เรียนได้ซักถามให้นักเรียนไขข้อข้องใจตามหลักจิตวิทยาข้อหนึ่งที่ไม่ควรลืมในขณะที่ผู้เรียนทำงานกลุ่มคือการให้ความสำคัญของสมาชิกทุกคนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนได้มีส่วนร่วม
สิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้สำหรับผู้มีวิชาชีพครูคือผู้เป็นครูจะต้องให้ความสนใจนักเรียนในชั้นเรียนของตนเองทุกอย่างทั่วถึงการแสดงท่าทางด้วยสีหน้าเช่นเวลาอธิบาย
พูดมองหน้ากวาดสายตาไปให้ทั่วถึงแต่จะต้องระวังการเกิดความเข้าใจผิดและจะต้องมีการสอดแทรกสิ่งที่ครูปรารถนาดีต่อตัวนักเรียนไปที่อย่างเหมาะสมกับจังหวะซึ่งจะเป็นสิ่งดีแก่ฝ่าย
พัฒนาการด้านภาษาของนักเรียน
คนย่อมมีความแตกต่างกันทั้งรูปร่างหน้าตาและสีผิวลักษณะทางกายภาพซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อบุคคลให้มีความแตกต่างกันในด้านต่างๆซึ่งในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงการพัฒนาด้านภาษาของเด็กและวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่กำลังศึกษาเล่าเรียนในช่วงที่
1-4
เท่านั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการนำไปใช้มากที่สุด
การพัฒนาด้านภาษาของนักเรียนในช่วงชั้นที่
1 ถึง 2
ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ
12
ปีสำหรับความสามารถในความรู้สึกนึกคิดของเด็กนั้นซึ่งในระยะแรกจะใช้อวัจนภาษามากกว่าวัจนภาษาเด็กที่มีอายุ
2-3 เดือนถึง 4-5 ขวบจะเริ่มใช้ภาษา 2-3 คำเด็กที่มีอายุ 4-6
ขวบจะมีการพัฒนาทางด้านภาษาเกือบสมบูรณ์ยกเว้นประโยคที่ซับซ้อนและกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ที่มากเกินไปเด็กอายุ
6-12
ปีมีความสามารถในการใช้ภาษาน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่จะได้รับ
ส่วนในการฟังเด็กที่มีอายุ
3-6 ปี
สมรรถนะของการฟังต่ำฝันได้ไม่เกิน 15 นาที ส่วนเด็กที่มีอายุ
6ปีขึ้นไปมีสมรรถนะในการฟังที่แตกต่างกันบางคนอาจฟังได้นานและฟังได้น้อยส่วนอายุ
11-12 ปีจะมีสมรรถนะภาพในการฟังที่มากขึ้นการฟังของเด็กแต่ละวัยมีรายละเอียดดังนี้
อายุ
3-6
ปีจะชอบฟังรายการดนตรีนิทานนิยายแต่ก็ควรมีความยาวไม่มากนัก
อายุ
6-12
ปีชอบฟังเพลงและนิยายผู้ใหญ่
พัฒนาการด้านภาษาของนักเรียนในช่วงชั้นที่
3 ถึง 4
พัฒนาการด้านภาษาของนักเรียนที่มีอายุระหว่าง
13 ถึง 25
ปีจะเติบโตเต็มที่ของวัยรุ่นซึ่งสามารถใช้ภาษาได้อย่างกว้างขวาง
เด็กอายุ
12 ปี 1
เดือนถึง 19 ปีจะสามารถอ่านได้อย่างเข้าใจอย่างรวดเร็ว
หลักในการสื่อสารภาษากับนักเรียน
การคำนึงถึงภาษาที่พัฒนาและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งหลักการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงปัจจัย 7 ประการคือ
1. ความเชื่อถือ
จะต้องเริ่มต้นด้วยบรรยากาศน่าเชื่อถือและสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นปรารถนาดีจังครูสอนนักเรียนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
2 ความเหมาะสมกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
การสื่อสารจะต้องกลมกลืนและเหมาะสมแก่สภาพแวดล้อมมีสื่อสารจะต้องสนับสนุนหรือช่วยเสริมคำพูดเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถาม
3 .เนื้อหาสาระในการสื่อภาษา
เนื้อหาจะต้องมีความหมายต่อนักเรียนไม่ขัดแย้งต่อระบบค่านิยมความเชื่อถือหรือบรรทัดฐานของกลุ่มนักเรียนซึ่งอาจจะทำให้เกิดการต่อต้านได้
4. ความชัดเจนในการสื่อความหมาย
จะต้องมีความชัดเจนโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายไม่ยากเกินไปง่ายและกะทัดรัด
5. ความต่อเนื่องและความสม่ำเสมอภาษา
เป็นกระบวนการที่ไม่มีที่สิ้นสุดฉะนั้นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเน้นย้ำเพื่อให้ซึมซับไปในจิตใจของนักเรียน
6. ช่องทางในการสื่อสาร
คือตัวเชื่อมประสานระหว่างครูกับนักเรียนทำให้ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น
7. ขีดความสามารถของนักเรียน
ครูจะต้องคำนึงถึงความสามารถของนักเรียนด้วยรวมถึงทักษะในการสื่อสาร
การสื่อสารด้วยอวัจนภาษา
การใช้คำพูดสำคัญกับครูมากในการสอนแต่อวัจนภาษาก็ส่งผลให้นักเรียนเกิดความเชื่อถือและเกิดความศรัทธาในตัวครูมากขึ้นดังนั้นครูควรจะมีจิตวิทยาสื่อสารภาษาด้วยอวัจนภาษาเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในเรื่องต่างๆดังนี้
1.
การแต่งกายครูควรแต่งกายให้เหมาะสม
2.
การวางท่าทางควรวางท่าทางแบบสบายยืนตรงไหลไม่คุ้ม
3.อากัปกิริยา
ขณะพูดควรแสดงอากัปกิริยาให้เป็นธรรมชาติเช่นการพยักหน้าการทำมือประกอบการเดินเป็นต้น
4.
สีหน้าและสายตาไม่ควรเย็นชาเคร่งขรึมจนเกินไป
5.การใช้ท่าทางประกอบการพูดช่วยให้การเน้นน้ำหนักในการพูดเด่นชัดขึ้นเพื่อให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหา
6.ความเชื่อมั่นในตนเองควรสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้มีบุคลิกที่ดีและเตรียมการสอนให้พร้อม
การสื่อสารภาษาด้วยวัจนภาษา
การใช้คำพูดเป็นสิ่งที่ควรใช้มากที่สุดในการเรียนการสอนคู่ควรทราบจิตวิทยาในการพูดกับนักเรียนดังนั้นครูควรจะคำนึงถึงการสื่อสารภาษากับนักเรียนดังนี้
1.
ครูควรคิดให้รอบคอบก่อนพูดควรพิจารณาถ้อยคำที่นำมาใช้ว่าเหมาะสมกับนักเรียนหรือไม่
2.
ถ้านักเรียนเริ่มรวนครูด้วยคำพูดหรือล้อเลียนควรระงับอารมณ์โกรธและสอนต่อไป
3 .ไม่ควรพูดกระทบกระเทือนเปรียบเทียบเสียดสีย้อมผมด้วยของนักเรียน
4.. ไม่ควรพูดตำหนินักเรียนแรงๆควรอดทนและอธิบายด้วยถ้อยคำดีๆ
5.
ไม่ควรพูดเกินเวลาเพราะจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย
6
. ไม่ควรพูดผูกขาดการพูดเพียงคนเดียวคนอื่นโอกาสให้นักเรียนถามบ้าง
7.
ควรคำนึงถึงการใช้เสียง
7.1 การใช้เสียงดังที่พอดีเพื่อให้นักเรียนได้ยิน
7.2
การใช้เสียงที่ชัดเจนพอที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจได้ตลอด
7.3
ควรพูดช้าหรือเร็วพอที่นักเรียนจะได้ยินและเข้าใจ
7.4
ควรพูดมีระดับเสียงสูงต่ำทำซึ่งทำให้นักเรียนไม่เบื่อหน่าย
7.5
ใช้น้ำเสียงที่มีชีวิตชีวาเพื่อให้นักเรียนคอยตาม
การสื่อภาษาเพื่อการควบคุมชั้นเรียน
1.
ครูควรจะบอกแก่นักเรียนที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้หยุด
2.
ไม่เพียงแต่แนะนำให้พูดเรียนหยุดเท่านั้นแต่ควรจะให้คำแนะนำว่าควรจะทำอะไรต่อไป
3.
ครูควรอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงบอกให้อยู่
4.
เวลาครูห้ามนักเรียนหรือชี้แจงกับนักเรียนครูจะต้องแสดงความหวังดีต่อนักเรียนด้วย
5 .ครูควรระวังไม่ใช้คำที่ค่อนแคะ
การสื่อสารภาษาเพื่อการติชม
1.
ครูควรแสดงให้นักเรียนเห็นว่าครูวิจารณ์นั้นเป็นเพราะว่าหวังดี
2.
คำวิจารณ์นั้นควรใช้คำพูดที่เข้าใจได้ชัดเจนว่าครูต้องการให้นักเรียนแก้ไขพฤติกรรมอะไร
3.
คำวิจารณ์นักเรียนนั้นไม่ควรใช้คำตำหนิตรงๆควรใช้คำพูดให้นักเรียนมองเห็นพฤติกรรมของตนเอง
4.
การให้คำตินั้นควรเป็นลักษณะการให้ข้อเสนอแนะไม่ใช่บังคับ
5 .การให้คำติชมนั้นครูควรมีลักษณะการให้ข้อมูลไปในทางบวกและทราบข้อมูลของนักเรียนก่อน
6. ในการติดต่อผู้อื่นนั้นพูดควรใช้ภาษาที่พูดฟังเข้าใจง่ายจะได้สื่อสารให้เข้าใจตรงกัน
7 .ควรติชมด้วยความจริงใจถูกต้องตามความจริงจนไม่มากเกินไปควรมีความจริงใจให้แก่ผู้เรียนด้วย
8. การให้คำชมไม่ควรพูดพร่ำเพื่อจนคำชมไร้ความหมายหรือด้อยค่าไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น